ปัญหา “คางสั้น” “คางหลุบ” หรือ “คางตัด” เป็นปัญหาที่กวนใจใครหลายคน เพราะมันทำให้สัดส่วนใบหน้าโดยรวมดูไม่สมดุล หน้าดูสั้น ดูมีแก้มเยอะ หรือทำให้จมูกดูเด่นเกินไป และในยุคนี้ สองทางเลือกที่ฮอตฮิตที่สุดในการแก้ปัญหานี้ก็คือ “การฉีดฟิลเลอร์คาง” และ “การผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคน”
คำถามที่ตามมาทันทีก็คือ “แล้วแบบไหนดีกว่ากันล่ะ?” คำตอบคือ… มันไม่มีคำว่า “ดีกว่า” ที่เป็นคำตอบเดียวสำหรับทุกคนครับ/ค่ะ แต่มีคำตอบว่า “แบบไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่า” วันนี้ BeProud Clinic จะมาเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ ทุกซอกทุกมุม เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ทำไม “คาง” ถึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อใบหน้า?
คางคือส่วนที่กำหนด “กรอบหน้าส่วนล่าง” (Lower Face) และเป็นจุดที่สร้างความสมดุลให้กับ E-Line (เส้นที่ลากจากปลายจมูกมายังปลายคาง) ใบหน้าที่สวยงามได้สัดส่วนทองคำนั้น คางจะต้องมีความยาวและความพุ่งที่พอดีกับจมูกและหน้าผาก การปรับคางเพียงเล็กน้อยจึงสามารถเปลี่ยนมิติของใบหน้าทั้งหมดให้ดูเรียวและสมส่วนขึ้นได้
รู้จัก “การฉีดคาง” (ฟิลเลอร์)
การฉีดคางคือการใช้สารเติมเต็ม (Filler) ซึ่งส่วนใหญ่คือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ฉีดเข้าไปในบริเวณคางเพื่อ “เติมเต็ม” และ “ปั้นทรง” ให้คางดูยาวขึ้นหรือพุ่งไปข้างหน้ามากขึ้น
ข้อดีของฟิลเลอร์คาง
- รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น: ใช้เวลาฉีดไม่นาน (ประมาณ 15-30 นาที) หลังฉีดเสร็จสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
- เจ็บน้อย: มีการแปะยาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ ทำให้รู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ (ถ้าฉีดพอดี): ฟิลเลอร์ HA มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ทำให้เนื้อเยื่อดูนุ่มนวลและกลมกลืน
- แก้ไขได้: หากฉีดแล้วไม่พอใจ สามารถฉีดสลาย (ด้วย Hyaluronidase) เพื่อให้กลับสู่สภาพเดิมได้
ข้อจำกัดของฟิลเลอร์คาง
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร: นี่คือข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุด ฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติใน 1-2 ปี ทำให้ต้องกลับมาฉีดซ้ำเรื่อยๆ
- ค่าใช้จ่ายระยะยาว: แม้ราคาต่อครั้งจะถูกกว่าผ่าตัด แต่เมื่อรวมค่าใช้จ่ายที่ต้องฉีดซ้ำทุกปี ในระยะยาวอาจแพงกว่าการผ่าตัด
- ไม่เหมาะกับปัญหาที่ซับซ้อน: ไม่สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อคาง (Mentalis Muscle) หรือคางที่สั้นมาก หรือคางที่ต้องการความคมชัดแบบ “โครงสร้าง” ได้ดีเท่าซิลิโคน
surgically รู้จัก “การเสริมคาง” (ซิลิโคน)
การเสริมคางคือการ “ผ่าตัด” เพื่อใส่ “ซิลิโคน” (Silicone Implant) เข้าไปวางบนกระดูกคาง เพื่อปรับเปลี่ยน “โครงสร้าง” ของคางให้ยาวขึ้น พุ่งขึ้น หรือกว้างขึ้นอย่างถาวร
ข้อดีของการเสริมคาง
- ผลลัพธ์ถาวร: นี่คือข้อดีที่สุด ทำครั้งเดียว สวยยาวตลอดไป ไม่ต้องเติมซ้ำ
- เปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน: สามารถแก้ปัญหาคางที่สั้นมากๆ หรือหลุบเข้าไปข้างในมากๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- สร้าง “ขอบ” ที่คมชัด: สามารถเหลาซิลิโคนให้มีขอบที่คมชัด รับกับแนวกรามได้ดีกว่าฟิลเลอร์
- คุ้มค่าในระยะยาว: แม้จะจ่ายแพงในครั้งเดียว แต่เมื่อเทียบกับค่าฉีดฟิลเลอร์ซ้ำๆ ตลอด 10 ปี การผ่าตัดถือว่าคุ้มค่ากว่า
ข้อจำกัดของการเสริมคาง
- เป็นการผ่าตัด: ต้องใช้เวลาพักฟื้น (ประมาณ 1-2 สัปดาห์) และมีการดูแลแผล
- ค่าใช้จ่ายสูงในครั้งแรก: ต้องใช้งบประมาณก้อนใหญ่ในครั้งเดียว
- แก้ไขยาก: หากทำแล้วไม่พอใจ การแก้ไขจำเป็นต้อง “ผ่าตัดใหม่” อีกครั้ง
ตารางเปรียบเทียบชัดๆ: ฉีดคาง vs เสริมคาง
| ปัจจัย | การฉีดคาง (ฟิลเลอร์) | การเสริมคาง (ซิลิโคน) |
| ผลลัพธ์ | ชั่วคราว (1-2 ปี) | ถาวร |
| การเปลี่ยนแปลง | เพิ่มความนูนได้เล็กน้อยถึงปานกลาง | เปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้ชัดเจน |
| การพักฟื้น | ไม่ต้องพักฟื้น (อาจมีรอยเข็ม) | ต้องพักฟื้น 1-2 สัปดาห์ (มีอาการบวม) |
| ความเจ็บ | เจ็บเล็กน้อย (มียาชา) | ไม่เจ็บระหว่างทำ (มียาชา/ดมยา) ปวดตึงหลังทำ |
| ความเสี่ยง | การไหลของฟิลเลอร์, อุดตันเส้นเลือด (พบน้อยมาก) | การติดเชื้อ, การเบี้ยวเอียง, การชา (หากไม่ชำนาญ) |
| ค่าใช้จ่ายครั้งแรก | ต่ำกว่า (หลักหมื่นต้น-กลาง) | สูงกว่า (หลักหมื่นกลาง-สูง) |
| ความคุ้มค่าระยะยาว | ต้องฉีดซ้ำ (ค่าใช้จ่ายสะสมสูง) | จ่ายครั้งเดียวจบ (คุ้มค่ากว่า) |
สรุป… “ฉีดคาง” เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่กลัวการผ่าตัด: ไม่ต้องการมีแผล ไม่ต้องการพักฟื้น
- ผู้ที่ต้องการ “ทดลอง”: อยากเห็นว่าถ้าตัวเองมีคางแล้ว ใบหน้าจะเป็นอย่างไร (เป็นวิธี “Test Drive” ที่ดีมาก)
- ผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว: มีอีเวนต์สำคัญที่ต้องใช้หน้าเร่งด่วน
- ผู้ที่มีปัญหาคางเล็กน้อย: ต้องการเติมเต็มเพียงเล็กน้อยให้ได้สัดส่วน
และ… “เสริมคาง” เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มั่นใจและต้องการผลลัพธ์ถาวร: ไม่อยากเสียเวลาหรือเจ็บตัวซ้ำๆ
- ผู้ที่มีปัญหาคางสั้นหรือหลุบมาก: ฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขได้เพียงพอ
- ผู้ที่ต้องการ “โครงสร้าง” ที่คมชัด: อยากให้คางมีขอบที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่ดูนูนขึ้น
- ผู้ที่มองหาความคุ้มค่าในระยะยาว: ยอมจ่ายครั้งเดียวเพื่อจบ
ทางลัดที่ชาญฉลาด: “Test Drive” ด้วยฟิลเลอร์ก่อนตัดสินใจผ่าตัด
สำหรับคนไข้ที่ BeProud Clinic ที่ยังลังเล เรามักจะแนะนำทางเลือกที่น่าสนใจคือ “ลองฉีดฟิลเลอร์ดูก่อน 1-2 ครั้ง” เพื่อให้เห็นภาพตัวเองตอนมีคาง และเพื่อยืนยันว่า “ชอบ” จริงๆ เมื่อฟิลเลอร์เริ่มสลายและคุณมั่นใจแล้ว ค่อยตัดสินใจผ่าตัดเสริมซิลิโคนเพื่อผลลัพธ์ถาวร วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำศัลยกรรมแล้วไม่พอใจได้มาก
ทำไมถึงควรปรึกษา BeProud Clinic ก่อนตัดสินใจ?
ไม่ว่าคุณจะเลือก ฉีดคาง หรือ เสริมคาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ “ประเมิน” และ “เทคนิค” ของแพทย์ ที่ BeProud Clinic เราไม่ได้เชียร์หัตถการใดหัตถการหนึ่ง แต่เรามุ่งมั่นที่จะหาทางเลือกที่ “เหมาะกับคุณที่สุด”
ทำไมถึงวางใจในคำปรึกษาของเราได้? (EEAT)
จากประสบการณ์ที่เราได้ดูแลและให้คำปรึกษาคนไข้ที่กังวลเรื่องรูปหน้ามานับไม่ถ้วน เราเข้าใจดีว่าทุกคนมีความต้องการและข้อจำกัดในชีวิตที่ต่างกัน ทีมแพทย์ ของเรายึดมั่นในการให้ข้อมูลที่ “ซื่อสัตย์” และ “ตรงไปตรงมา” เราจะวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้า (E-Line) ของคุณอย่างละเอียด และรับฟังเป้าหมายของคุณ หากปัญหาของคุณเล็กน้อยและคุณกลัวการผ่าตัด เราก็จะแนะนำฟิลเลอร์ แต่หากปัญหาของคุณชัดเจนและคุณต้องการความถาวร เราก็จะแนะนำการผ่าตัด พร้อมอธิบายข้อดี-ข้อเสียให้คุณเข้าใจอย่างโปร่งใส
หากคุณเลือก “เสริมคาง”: เทคนิคของเราคืออะไร?
หากคุณตัดสินใจเลือกการผ่าตัด นายแพทย์กิตติ์ธนัช แต้รัตนชัย (หมออาร์ม) และทีมแพทย์ของเรา มีความเชี่ยวชาญในการใช้ซิลิโคนเกรดพรีเมียมที่สามารถ “เหลา” ด้วยมือให้เข้ากับฐานกระดูกของคุณได้แบบ Case-by-Case และใช้เทคนิคการวางซิลิโคน “ใต้เยื่อหุ้มกระดูก” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วย “ล็อก” ซิลิโคนให้อยู่กับที่ ลดโอกาสการเบี้ยวเอียงและการเกิดพังผืดในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ติดต่อ BeProud Clinic เพื่อค้นหาคำตอบที่ “ใช่” สำหรับคุณ
วิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้ว่า “ฉีดคาง กับ เสริมคาง อันไหนดีกว่า” สำหรับคุณ คือการเข้ามาให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินใบหน้าจริง
- ที่อยู่: The Crystal Veranda ชั้น 2 ห้อง 222 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร 10230
- เบอร์โทรศัพท์: 099-246-9692
- เว็บไซต์: https://www.beproudclinic.com/
- Facebook: BEPROUD Clinic (บีพราวด์ คลินิก)
- LINE Official: @beproudclinic
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. สรุปแล้ว ฉีดคาง กับ เสริมคาง อันไหนดีกว่า?
คำตอบ: ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณครับ/ค่ะ ถ้าต้องการความรวดเร็ว ไม่ถาวร และกลัวการผ่าตัด “ฉีดคาง” (ฟิลเลอร์) ดีกว่า แต่ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่ถาวร เปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน และคุ้มค่าในระยะยาว “เสริมคาง” (ซิลิโคน) ดีกว่าครับ
2. ถ้าเคยฉีดฟิลเลอร์คางมาแล้ว จะผ่าตัดเสริมคางได้ไหม?
ได้ครับ แต่ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อน โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้ “ขูด” หรือ “ฉีดสลาย” ฟิลเลอร์เดิมออกให้หมดก่อน (หากยังไม่สลาย) เพื่อให้สามารถวางซิลิโคนในตำแหน่งที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด
3. การเสริมคางอันตรายไหม?
การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยง แต่การเสริมคางถือเป็นการผ่าตัดที่ปลอดภัยหากทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ความเสี่ยงหลักๆ เช่น การติดเชื้อ (ป้องกันได้ด้วยความสะอาด) หรือการเบี้ยวเอียง (ป้องกันได้ด้วยเทคนิคการวางใต้เยื่อหุ้มกระดูก)
4. ฟิลเลอร์คางไหลหรือเป็นก้อนจริงไหม?
เกิดขึ้นได้ครับ หากใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน, ฉีดในปริมาณที่มากเกินไป (Overfilled), หรือฉีดผิดชั้นผิวหนัง จึงควรเลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือ และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้เท่านั้น
5. เสริมคางแผลใน กับ แผลนอก แบบไหนดีกว่ากัน?
เป็นการแลกเปลี่ยนกันครับ “แผลในปาก” จะไม่มีแผลเป็นภายนอกเลย แต่มีความเสี่ยงติดเชื้อจากแบคทีเรียในปากได้ง่ายกว่า ส่วน “แผลนอก” (ใต้คาง) จะมีแผลเป็นเล็กๆ ซ่อนอยู่ แต่ข้อดีคือแพทย์สามารถวางซิลิโคนได้แม่นยำกว่ามาก และเสี่ยงติดเชื้อต่ำกว่าครับ
References
- Harvard Health Publishing – Dermal Fillers: What you need to know. (www.health.harvard.edu/blog/dermal-fillers-what-you-need-to-know-2018091714821)
- Mayo Clinic – Genioplasty (Chin Surgery) Overview. (www.mayoclinic.org/tests-procedures/genioplasty/about/pac-20385215)
- American Board of Cosmetic Surgery – Chin Implants vs. Fillers. (www.americanboardcosmeticsurgery.org/procedure-learning-center/facial-procedures/chin-augmentation-guide/)